top of page

เกณฑ์การแบ่งพฤติกรรมการรู้หนังสือ

  • เฉลิมลาภ ทองอาจ, ค.ด.
  • Jun 29, 2017
  • 1 min read

สังคมทุกสังคมขับเคลื่อนไปได้ด้วยอาศัยการที่สมาชิกในสังคม สร้างองค์ความรู้ในแขนงต่าง ๆ ขึ้นมา และนำมาใช้ประโยชน์ ในการแสวงหาความรู้ดังกล่าว การอ่านออกเขียนได้เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก คำว่าอ่านออกเขียนได้ในที่นี้ มีความหมายตรงกับคำว่า "การรู้หนังสือ" (literacy) ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการอ่าน เขียนและคิดคำนวณในระดับพื้นฐาน เฉพาะด้านการอ่าน หมายถึงการที่บุคคลสร้างความหมายและเกิดความเข้าใจสิ่งที่อ่าน ซึ่งมีรูปแบบที่แตกต่างหลากหลาย และปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวัน

การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญ โดยเกิดขึ้นพร้อมกับการที่มนุษย์เริ่มรู้จักสัญลักษณ์ และสร้างระบบเพื่อแทนความนึกคิด เพราะมนุษย์จะต้องแปลและถอดความหมาย หรือ "สาร" ในสัญลักษณ์ หรือเสียงพูด เพื่อทำให้ตนเองรับทราบว่าจะต้องปฏิบัติอะไร อย่างไร นักการศึกษาจึงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะการอ่านในผู้เรียน เพราะจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการดำรงชีวิต ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การรู้หนังสือ แบ่งระดับได้เป็น การรู้เกี่ยวกับเสียงและอักษร การรู้เกี่ยวกับความหมายของคำและข้อความ การรู้เรื่องโครงสร้างหรือกฎเกณฑ์การสร้างประโยคในการสื่อสาร อย่างไรก็ตา นักภาษา อาทิ Bormuth (1973) ได้พยายามที่จะสร้างเกณฑ์การแบ่งพฤติกรรมการรู้หนังสือ (Taxonomy of literacy behaviors) ให้มีความชัดเจนขึ้น เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาผู้เรียน รวมถึงการวัดและประเมินทักษะการอ่าน ซึ่งแบ่งได้เป็นหลายกลุ่มพฤติกรรม

พฤติกรรมการรู้หนังสือกลุ่มแรก คือ กลุ่มพฤติกรรมการถอดรหัส หมายถึง พฤติกรรมในการแปลอักษรที่เห็น ให้เป็นเสียง และรวมเสียงต่าง ๆ จากอักษรที่เห็นให้กลายเป็นเสียงอ่านของคำ หรือที่เรียกว่า สามารถที่จะประสมคำและอ่านคำนั้นออกมาได้ ส่วนพฤติกรรมการรู้หนังสือต่อมา คือ กลุ่มพฤติกรรมการสร้างความเข้าใจตามตัวอักษร หมายถึง การรับทราบความหมายของคำต่าง ๆ ในบทอ่านตามตัวอักษร คือ ทราบว่า คำแต่ละคำมีความหมายว่าอย่างไร หรือใช้บริบทของคำ คาดเดาความหมายของคำ ซึ่งจะเป็นความหมายตรงตัวของคำ ที่ไม่ต้องอาศัยการตีความหรือขยายความคิดเพิ่มเติม พฤติกรรมนี้แสดงได้โดยอ่านคำและข้อความและเข้าใจความหมายของข้อความเหล่านั้น

กลุ่มพฤติกรรมที่สาม ได้แก่ กลุ่มพฤติกรรมการอนุมาน หรือการสร้างข้อสรุปจากสิ่งที่อ่าน มีลักษณะเป็นการอ่านโดยสังเกตรายละเอียดต่าง ๆ ที่ไม่ได้ปรากฏให้เห็นโดยตรงในบทอ่าน แต่จะต้องอ่านโดยการตีความประกอบเพิ่มเติม ในสิงที่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวไว้ สำหรับกลุ่มพฤติกรรมที่สี่ ได้แก่ กลุ่มพฤติกรรมการวิเคราะห์วิจารณ์ หมายถึง การพิจารณาความเป็นเหตุเป็นผล และการนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ของบทอ่าน ว่ามีเหตุผลรองรับพอเพียงหรือไม่ หรือมีอคติใด ๆ จากผู้เขียนใส่ลงไปหรือไม่ อย่างไร สำหรับกลุ่มพฤติกรรมที่ห้า ได้แก่ กลุ่มพฤติกรรมการเข้าถึงความงดงาม หมายถึง การที่ผู้อ่านสามารถที่จะรับรู้สิ่งที่เป็นความรู้สึก และอารมณ์ที่แฝงอยู่ในเรื่อง รวมถึงความงามอันเกิดจากถ้อยคำ จังหวะ และเทคนิคการเขียนต่าง ๆ ที่มุ่งสร้างประสบการณ์ทางอารมณ์ และความรู้สึก

สำหรับกลุ่มพฤติกรรมการรู้หนังสือประการที่หก คือ กลุ่มพฤติกรรมการอ่านอย่างยืดหยุ่น คือ พฤติกรรมการอ่านที่ผู้อ่านสามารถที่จะปรับระดับความเร็ว และการทำความเข้าใจเรื่องที่อ่านอย่างเป็นอิสระตามรูปแบบหรือประเภทของสิ่งที่อ่าน ซึ่งพฤติกรรมนี้ จะแสดงให้เห็นทักษะการอ่านของผู้เรียน ที่สามารถจะปรับการอ่านของตน ให้เปลี่ยนแปลงไปตามตัวบท เช่น ตัวบทที่อ่านยาก ตัวบทที่อ่านง่าย เป็นต้น ส่วนกลุ่มพฤติกรรมสุดท้าย ได้แก่ กลุ่มพฤติกรรมที่เป็นทักษะการเรียน อันหมายถึง พฤติกรรมการแก้ปัญหาระหว่างการอ่าน เช่น อ่านแล้วไม่ทราบความหมาย ไม่เข้าใจเนื้อหา หรือไม่สามารถจับประเด็นสำคัญได้ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่จะนำมาช่วยสร้างความเข้าใจสิ่งที่อ่าน เช่น การจดบันทึกสิ่งที่อ่าน การวาดเป็นแผนภาพ แผนผัง การเขียนเป็นโครงเรื่อง หรือรายละเอียดคร่าว ๆ เป็นต้น เมื่อทราบว่าการรู้หนังสือแบ่งได้เป็นหลายกลุ่มพฤติกรรม ครูภาษาไทยจำเป็นที่จะต้องสำรวจว่า นักเรียนของตนเอง มีพฤติกรรมการรู้หนังสือในกลุ่มต่าง ๆ อยู่ในระดับใด โดยอาศัยการสังเกต และการทดสอบการอ่านในหลากหลายลักษณะ ซึ่งจะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาการรู้การอ่านในเบื้องต้นได้อย่างตรงจุด ว่าผู้เรียนไม่เข้าใจความหมายคำ สรุปใจความไม่ได้ อนุมานหรือจับประเด็นความคิดของผู้เขียนไม่ได้ ไม่สามารถเข้าถึงความงามของเรื่องที่อ่าน รวมถึงไม่สามารถที่จะหาวิธีการแก้ไขปัญหาการอ่านของตนเอง เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ครูภาษาไทยจึงจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจเรื่อง เกณฑ์การแบ่งพฤติกรรมการรู้หนังสือข้างต้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถจัดการเรียนรู้เพื่อซ่อมเสริมพฤติกรรมแต่ละด้าน ให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ _________________________________________________ รายการอ้างอิง

Bormuth, J. R. (1973). Reading literacy: Its definition and assessment. Reading research quarterly, 7-66.


 
 
 

Comments


Recent Posts

© 2017 โดย เฉลิมลาภ ทองอาจ Proudly created with Wix.com 

  • Grey Twitter Icon
bottom of page